Sunday, June 17, 2012

ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น หรือ Monbukagakusho (MEXT)


เป็นทุนการศึกษาที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้มอบให้แก่นักศึกษาไทยที่สนใจไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของญี่ปุ่นเป็นประจำทุกปี  โดยโครงการมอบทุนการศึกษาได้เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954 (พ.ศ 2497)  มีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศในด้านการศึกษา  วิทยาศาสตร์  และวัฒนธรรม  ด้วยความปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะเสริมสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน  และเพื่อกระชับความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างประเทศไทยและญี่ปุ่นให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยจะคัดเลือกและเสนอชื่อนักเรียนไทย  เพื่อมอบทุนการ ศึกษาของรัฐบาลญี่ปุ่นให้แก่ผู้ที่มีความประสงค์ไปศึกษาต่อที่ญี่ปุ่น  ทั้งในระดับอุดมศึกษาและในสถานศึกษาชั้นสูงของญี่ปุ่น  ซึ่งแบ่งประเภทของทุนออกเป็น  7  ประเภท  แต่จะแนะนำเพียง  ประเภทที่เหมาะกับนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย  คือ
ระดับปริญญาตรี  (Undergraduate Student)
สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยจะคัดเลือกนักเรียนไทย   เพื่อไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่นในฐานะนักศึกษาต่างชาติเป็นประจำทุกปี  ปีละประมาณ 10 ทุน  ผู้สมัครต้องมีสัญชาติไทย  อายุครบ 17 ปีบริบูรณ์  และไม่เกิน 22 ปี  สำเร็จหรือกำลังจะสำเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย  ตามหลักสูตรการศึกษา 12 ปี  ระยะเวลารับทุนการศึกษา 5 ปี  และ 7 ปี  สำหรับคณะแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ สัตวแพทยศาสตร์  (รวมระยะเวลาศึกษาภาษาญี่ปุ่น 1 ปี)
QUALIFICATIOS
(1) NationalityThai nationality.
(2) Age17 to 21 years old as of April 1, 2013
(3) Academic Background:  completed a 12-year regular course
(4)  Academic Records (GPA):
4.1) more than 3.80
4.2) More than 3.30 for Level 1/N1 and Level 2/N2 and  More than 3.50 for Level 3/N3 and N4
2. ทุนญี่ปุ่นศึกษา  (Japanese Studies Student)
     สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยคัดเลือกนักเรียนไทย    เพื่อไปศึกษาแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่นในฐานะนักศึกษาต่างชาติ  เพื่อไปเพิ่มพูนทักษะความรู้ภาษาญี่ปุ่น  และศึกษาวัฒนธรรมสภาพสังคมเป็นประจำทุกปี  ปีละประมาณ 5 ทุน  ผู้สมัครต้องมีสัญชาติไทย  อายุครบ 18 ปีบริบูรณ์  และไม่เกิน 30 ปี  กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยในประเทศไทย  และศึกษาภาษาญี่ปุ่นหรือวัฒนธรรมญี่ปุ่นเป็นวิชาเอก  ระยะเวลารับทุนการศึกษา 1 ปี
Documents
Application (by the prescribed form)  = (1 original)
Admission Form (by the prescribed form) = (1 original)
Photographs = (3 photographs)
Academic transcript for certified school records of the past 3 years = (1 original)
Certificate of enrollment = (1 original)
Test Result or Certificate of Japanese Language Proficiency = (1 copy)
Letter of Agreement by parents with their signature = (1 original)

MEXT ให้อะไรบ้าง?
MEXT เป็นทุนให้เปล่าโดยสนับสนุน
ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ 
ค่าใช้จ่ายเมื่อเดินทางไปถึงญี่ปุ่น 
*ค่ารักษาพยาบาล 
ได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียน 
**เงินเดือนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายประจำเดือน 

แนวข้อสอบเป็นอย่างไร?
1. สอบข้อเขียน
แนวข้อสอบข้อเขียนคำถามจะเป็นภาษาอังกฤษ แบ่งเป็นสองส่วน
1.             Reading ( 25 items)
2.             Grammar (20 items)
3.             Vocabulary (5 items)
* นอกจากนั้นก็จะมีการสอบตามสาขาวิชาอื่นๆเพิ่มเติม เช่น คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ

2. สอบสัมภาษณ์
การสอบสัมภาษณ์ไม่ยาก ตอบเป็นภาษาอังกฤษหรือญี่ปุ่น ให้เราอธิบายถึงเรื่องที่เราจะไปเรียนและถามเรื่องทั่วๆ ไป เรื่องที่เคยเรียนมาที่โรงเรียน เรื่องการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การกำหนดสถานการณ์ การวางแผน (จุดนี้จะทดสอบไหวพริบและการรูปจักการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า)

นักเรียนควรเตรียมตัวอย่างไร?
                เตรียมตัวมาโดยการอ่านข่าว ฟังข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์โลกในปัจจุบันในรอบปีที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่เด่นๆในโลก กลับไปทบทวนความรู้วิชาสังคมศาสตร์สมัยมัธยมต้น ดูหนังสือเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นหรือดูในเวปนี้ก็ดี http://embjp-th.org แล้วจดโน้ตเรื่องที่ควรจำไว้ หรือเข้ามาดูข่าวปัจจุบันเกี่ยวกับญี่ปุ่นในเวปเดียวกันนี้

การเลือกมหาวิทยาลัยควรเลือกอย่างไรดี?
1. หาเหตุผลและคำตอบที่ชัดเจนในการไปศึกษาต่อต่างประเทศ
#แรงจูงใจที่เกิดจากเป้าหมายในอาชีพ  หรือลักษณะงาน  ความน่าสนใจในเนื้อหาวิชาที่จะเรียน
#สิ่งที่สนใจเป็นพิเศษ
#ความต้องการบุคลากรในตลาดแรงงาน
              เช่น ถ้าต้องการค้นคว้าในเรื่องเจาะจงเฉพาะทาง  ก็ควรสมัครเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีคณะหรือภาควิชาที่เปิดสอนในวิชาที่สนใจ  หรือหากสนใจที่จะหาประสบการณ์จริงในวงการธุรกิจ ก็ควรเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ใกล้ย่านธุรกิจหรือในตัวเมืองสำคัญทางการค้าใหญ่ๆ 
  
2. การประเมินตนตามความเป็นจริงในเรื่องของความสามารถ
# เรียนเก่งหรือไม่?  เป็นคนขยันหรือขวนขวายหรือไม่?
# เกรดเฉลี่ยที่ผ่านเป็นอย่างไรบ้าง?
# มีประสบการณ์การทำงาน  หรืองานค้นคว้าวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสาขาต้องการเรียนหรือไม่?
# เคยมีประสบการณ์ร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่อยากเรียนต่อหรือไม่?
          สำหรับนักเรียนที่ได้เกรดเฉลี่ยสูงจะมีโอกาสในการเลือกสมัครเข้ามหาวิทยาลัยได้มากกว่านักเรียนที่ได้เกรดเฉลี่ยระดับกลางๆ  ซึ่งอาจจะสามารถสมัครในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในอันดับต้นๆได้   โดยไม่ติดขั้นในเรื่องของเกรดเฉลี่ย  แต่สำหรับนักเรียนที่มีเกรดเฉลี่ยระดับกลางก็ควรเลือกสมัครมหาวิทยาลัยที่อยู่ในระดับกลางๆ  เพราะจะมีโอกาสมากกว่า  

3. การค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมในสาขาที่ต้องการจะเรียน
# นักเรียนเคยได้คุยกับอาจารย์  หรือได้อ่านบทความในหนังสือพิมพ์ในสาขาที่นักเรียนจะเรียนหรือสาขาอื่นๆหรือไม่          
การศึกษาต่อในต่างประเทศนั้นแตกต่างจากการเรียนต่อในบ้านเรา  ในเรื่องของระบบที่ค่อนข้างยืดหยุ่น  นักศึกษาสามารถเลือกหลักสูตรที่มุ่งเน้นโดยตรงและเจาะจงไปในตัววิชาที่ยักเรียนมีความสนใจ

ต่อไปจะต้องทำการหาข้อสรุปในการเลือกมหาวิทยาลัย
1. หาหลักสูตรที่เปิดสอน   เช่น  BA , BS , MS , MBA , MA , Ph.D ., etc  ยิ่งหลากหลายก็ยิ่งแสดงว่ามหาวิทยาลัยนั้นมุ่งเน้นทางด้านสายวิชานั้นๆ
2. หาจุดเด่นของตัว  Program  ที่เป็นสายเฉพาะทาง
3. ดูอันดับ  Ranking  ของมหาวิทยาลัย
4. ระยะเวลาที่เรียนของหลักสูตรนั้นๆ
5.  พิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับตัวเลขจำนวนนักศึกษาต่างชาติที่กำลังเรียนอยู่  หรือดูค่าโดยประมาณ  

จากหลักในการเลือกสถาบันหรือมหาวิทยาลัยข้างต้น นักเรียนลองเลือกมหาวิทยาลัยมาสัก 10 ที่  แล้วลองพิจารณาดูว่าที่ไหนมีคุณสมบัติตามเกณฑ์มากที่สุด  และนักเรียนมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่สถาบันกำหนดไว้หรือไม่  แล้วค่อยตัดตัวเลือกอื่นๆที่ได้ตามเกณฑ์น้อยที่สุดออกไป  การเลือกมหาวิทยาลัยที่เหลือก็จะง่ายมากขึ้น 

1 comment:

  1. พี่ครับ Parent Agreement Form เขียนยังไงครับ

    ReplyDelete