เป็นทุนการศึกษาที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้มอบให้แก่นักศึกษาไทยที่สนใจไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของญี่ปุ่นเป็นประจำทุกปี โดยโครงการมอบทุนการศึกษาได้เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ.
1954 (พ.ศ 2497) มีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศในด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม ด้วยความปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะเสริมสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน และเพื่อกระชับความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างประเทศไทยและญี่ปุ่นให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยจะคัดเลือกและเสนอชื่อนักเรียนไทย เพื่อมอบทุนการ
ศึกษาของรัฐบาลญี่ปุ่นให้แก่ผู้ที่มีความประสงค์ไปศึกษาต่อที่ญี่ปุ่น ทั้งในระดับอุดมศึกษาและในสถานศึกษาชั้นสูงของญี่ปุ่น ซึ่งแบ่งประเภทของทุนออกเป็น 7 ประเภท แต่จะแนะนำเพียง 2 ประเภทที่เหมาะกับนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย คือ
ระดับปริญญาตรี (Undergraduate Student)
สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยจะคัดเลือกนักเรียนไทย เพื่อไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่นในฐานะนักศึกษาต่างชาติเป็นประจำทุกปี ปีละประมาณ 10 ทุน ผู้สมัครต้องมีสัญชาติไทย อายุครบ 17 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 22 ปี สำเร็จหรือกำลังจะสำเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ตามหลักสูตรการศึกษา 12 ปี
ระยะเวลารับทุนการศึกษา 5 ปี และ 7 ปี สำหรับคณะแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ สัตวแพทยศาสตร์ (รวมระยะเวลาศึกษาภาษาญี่ปุ่น 1 ปี)
QUALIFICATIOS
(1) NationalityThai nationality.
(2) Age17 to 21 years old as of April 1, 2013
(3) Academic Background:
completed a 12-year regular course
(4) Academic Records (GPA):
4.1) more than 3.80
4.2) More than 3.30 for Level 1/N1
and Level 2/N2 and More than 3.50 for
Level 3/N3 and N4
2. ทุนญี่ปุ่นศึกษา (Japanese Studies Student)
สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยคัดเลือกนักเรียนไทย เพื่อไปศึกษาแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่นในฐานะนักศึกษาต่างชาติ เพื่อไปเพิ่มพูนทักษะความรู้ภาษาญี่ปุ่น และศึกษาวัฒนธรรมสภาพสังคมเป็นประจำทุกปี ปีละประมาณ 5 ทุน ผู้สมัครต้องมีสัญชาติไทย อายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 30 ปี กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยในประเทศไทย และศึกษาภาษาญี่ปุ่นหรือวัฒนธรรมญี่ปุ่นเป็นวิชาเอก ระยะเวลารับทุนการศึกษา 1 ปี
สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยคัดเลือกนักเรียนไทย เพื่อไปศึกษาแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่นในฐานะนักศึกษาต่างชาติ เพื่อไปเพิ่มพูนทักษะความรู้ภาษาญี่ปุ่น และศึกษาวัฒนธรรมสภาพสังคมเป็นประจำทุกปี ปีละประมาณ 5 ทุน ผู้สมัครต้องมีสัญชาติไทย อายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 30 ปี กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยในประเทศไทย และศึกษาภาษาญี่ปุ่นหรือวัฒนธรรมญี่ปุ่นเป็นวิชาเอก ระยะเวลารับทุนการศึกษา 1 ปี
Documents
Application (by the prescribed form) = (1 original)
Admission Form (by the prescribed form) = (1 original)
Photographs = (3 photographs)
Academic transcript for certified school records of the past 3
years = (1 original)
Certificate of enrollment = (1 original)
Test Result or Certificate of Japanese Language Proficiency = (1 copy)
Letter of Agreement by parents with their signature = (1 original)
MEXT ให้อะไรบ้าง?
MEXT เป็นทุนให้เปล่าโดยสนับสนุน
ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ
ค่าใช้จ่ายเมื่อเดินทางไปถึงญี่ปุ่น
*ค่ารักษาพยาบาล
ได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียน
**เงินเดือนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายประจำเดือน
แนวข้อสอบเป็นอย่างไร?
1. สอบข้อเขียน
แนวข้อสอบข้อเขียนคำถามจะเป็นภาษาอังกฤษ แบ่งเป็นสองส่วน
1.
Reading ( 25 items)
2.
Grammar (20 items)
3.
Vocabulary (5 items)
* นอกจากนั้นก็จะมีการสอบตามสาขาวิชาอื่นๆเพิ่มเติม
เช่น คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ
2. สอบสัมภาษณ์
การสอบสัมภาษณ์ไม่ยาก
ตอบเป็นภาษาอังกฤษหรือญี่ปุ่น
ให้เราอธิบายถึงเรื่องที่เราจะไปเรียนและถามเรื่องทั่วๆ ไป
เรื่องที่เคยเรียนมาที่โรงเรียน เรื่องการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การกำหนดสถานการณ์
การวางแผน (จุดนี้จะทดสอบไหวพริบและการรูปจักการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า)
นักเรียนควรเตรียมตัวอย่างไร?
เตรียมตัวมาโดยการอ่านข่าว
ฟังข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์โลกในปัจจุบันในรอบปีที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่เด่นๆในโลก
กลับไปทบทวนความรู้วิชาสังคมศาสตร์สมัยมัธยมต้น ดูหนังสือเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นหรือดูในเวปนี้ก็ดี http://embjp-th.org แล้วจดโน้ตเรื่องที่ควรจำไว้ หรือเข้ามาดูข่าวปัจจุบันเกี่ยวกับญี่ปุ่นในเวปเดียวกันนี้
การเลือกมหาวิทยาลัยควรเลือกอย่างไรดี?
1. หาเหตุผลและคำตอบที่ชัดเจนในการไปศึกษาต่อต่างประเทศ
#แรงจูงใจที่เกิดจากเป้าหมายในอาชีพ หรือลักษณะงาน ความน่าสนใจในเนื้อหาวิชาที่จะเรียน
#สิ่งที่สนใจเป็นพิเศษ
#ความต้องการบุคลากรในตลาดแรงงาน
เช่น ถ้าต้องการค้นคว้าในเรื่องเจาะจงเฉพาะทาง ก็ควรสมัครเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีคณะหรือภาควิชาที่เปิดสอนในวิชาที่สนใจ หรือหากสนใจที่จะหาประสบการณ์จริงในวงการธุรกิจ ก็ควรเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ใกล้ย่านธุรกิจหรือในตัวเมืองสำคัญทางการค้าใหญ่ๆ
2. การประเมินตนตามความเป็นจริงในเรื่องของความสามารถ
# เรียนเก่งหรือไม่? เป็นคนขยันหรือขวนขวายหรือไม่?
# เกรดเฉลี่ยที่ผ่านเป็นอย่างไรบ้าง?
#
มีประสบการณ์การทำงาน หรืองานค้นคว้าวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสาขาต้องการเรียนหรือไม่?
#
เคยมีประสบการณ์ร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่อยากเรียนต่อหรือไม่?
สำหรับนักเรียนที่ได้เกรดเฉลี่ยสูงจะมีโอกาสในการเลือกสมัครเข้ามหาวิทยาลัยได้มากกว่านักเรียนที่ได้เกรดเฉลี่ยระดับกลางๆ ซึ่งอาจจะสามารถสมัครในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในอันดับต้นๆได้ โดยไม่ติดขั้นในเรื่องของเกรดเฉลี่ย แต่สำหรับนักเรียนที่มีเกรดเฉลี่ยระดับกลางก็ควรเลือกสมัครมหาวิทยาลัยที่อยู่ในระดับกลางๆ เพราะจะมีโอกาสมากกว่า
3. การค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมในสาขาที่ต้องการจะเรียน
# นักเรียนเคยได้คุยกับอาจารย์ หรือได้อ่านบทความในหนังสือพิมพ์ในสาขาที่นักเรียนจะเรียนหรือสาขาอื่นๆหรือไม่
การศึกษาต่อในต่างประเทศนั้นแตกต่างจากการเรียนต่อในบ้านเรา ในเรื่องของระบบที่ค่อนข้างยืดหยุ่น นักศึกษาสามารถเลือกหลักสูตรที่มุ่งเน้นโดยตรงและเจาะจงไปในตัววิชาที่ยักเรียนมีความสนใจ
ต่อไปจะต้องทำการหาข้อสรุปในการเลือกมหาวิทยาลัย
1. หาหลักสูตรที่เปิดสอน เช่น BA , BS , MS , MBA , MA , Ph.D .,
etc ยิ่งหลากหลายก็ยิ่งแสดงว่ามหาวิทยาลัยนั้นมุ่งเน้นทางด้านสายวิชานั้นๆ
2. หาจุดเด่นของตัว Program ที่เป็นสายเฉพาะทาง
3. ดูอันดับ Ranking ของมหาวิทยาลัย
4. ระยะเวลาที่เรียนของหลักสูตรนั้นๆ
5. พิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับตัวเลขจำนวนนักศึกษาต่างชาติที่กำลังเรียนอยู่ หรือดูค่าโดยประมาณ
จากหลักในการเลือกสถาบันหรือมหาวิทยาลัยข้างต้น
นักเรียนลองเลือกมหาวิทยาลัยมาสัก 10 ที่ แล้วลองพิจารณาดูว่าที่ไหนมีคุณสมบัติตามเกณฑ์มากที่สุด และนักเรียนมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่สถาบันกำหนดไว้หรือไม่ แล้วค่อยตัดตัวเลือกอื่นๆที่ได้ตามเกณฑ์น้อยที่สุดออกไป การเลือกมหาวิทยาลัยที่เหลือก็จะง่ายมากขึ้น
พี่ครับ Parent Agreement Form เขียนยังไงครับ
ReplyDelete